เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก "ทุ่งกะบาลกะไบ + น้ำตกสามหลั่น"
โดยพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พื้นที่ในเขตท้องที่ตำบลบักดอง
อำเภอขุนหาญและตำบลละลาย ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่รวม
๑๙๗,๕๐๐ ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้แก่ท้องที่ตำบลห้วยจันทร์ ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ
และตำบลละลาย ตำบลรุง ตำบลเสาธงชัยอำเภอกันทรลกษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ
โดยประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๑
โดยมีอาณาเขตด้านทิศเหนือติดกับเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขาพระวิหาร” ป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าฝั่งขวาห้วยศาลา และที่ทำกินของราษฎรด้านทิศใต้ติดกับชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา
ทางด้านทิศตะวันออกติดกับอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารด้านทิศตะวันตกติดกับเขตรักษษพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา
ทุ่งกะบาลกะไบ อยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ท้องที่ตำบลบักดอง
อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
โดยมีพื้นที่ด้านทิศใต้ติดกับป่าประเทศกัมพูชาตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก
พื้นที่ทุ่งกะบาลกะไบ
เป็นที่ราบบนเทือกเขาพนมดงรักลัษณะพื้นที่ประกอบด้วยทุ่งหญ้า พลาญหิน
กลุ่มป่าขนาดเล็กในพื้นที่ เนื้อที่ประมาณ 2,000
ไร่
พื้นที่รอบนอกเป็นป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรังที่มีความอุดมสมบูรณ์ ด้านแหล่งน้ำ
พืช อาหารสัตว์ ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า
เส้นทางการเดินทางออกจากอำเภอขุนหาญ มุ่งหน้าตรงไป ตำบลบักดอง ถึงน้ำตกสำโรงเกียรติ ถัดจากน้ำตกสำโรงเกียรติแล้วจะมีป้ายบอกทาง น้ำตกสามหลัน ระยะทาง 14 กม. , ทุ่งกบาลกะไบ ระยะทาง 16 กม. ยานพาหนะควรเป็นรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์สภาพดีหน่อย เพราะเส้นทางบางช่วงยังคงเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีความลาดชัน ซึ่งผู้ขับขี่ต้องมีความชำนาญและระมัดระวังพอสมควร เพราะอาจเป็นอันตรายได้
สถานที่จุดแรกหลังที่เราผ่านจุดตรวจของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ไปแล้ว ประมาณ 3 กม. จะไปพบกับสภาพผืนป่าทีอุดมสมบุรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด และน้ำตกที่มีสายน้ำใสสะอาดเยือกเย็น ผสานเสียงการไหลกตกกระทบหินกับเสียงร้องของเหล่าสัตว์ป่า ขานชื่อว่าน้ำตกสามหลั่น
พื้นโดยรอบบริเวณ้ำตกสามหลัน เป็นพื้นที่โล่ง มีทุ่งหญ้าและพลาญหิน สะดวกกับการเดินชมน้ำตก และเหมาะกับการนั่งพักผ่อนหรือรับประทานอาหาร
เส้นทางจุดต่อไปถัดจากน้ำตกสามหลันประมาณ 3 กม. เป็นหน่วยงานกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นผู้ดูแลผืนป่าแห่งนี้และจะคอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เข้าไปทัศนศึกษาธรรมชาติเชิงอนุรักษ์ พี่ๆเจ้าหน้าที่ป่าไม้ใจดีมีความเป็นกันเองพร้อมจะอำนวยความสะดวกทั้งเรื่องข้อมูลและการเดินทาง
ภาพซากวัตถุระเบิดที่เห็นด้านถัดจากนี้ อย่าเพิ่งตกใจนะคับผม...
วัตถุเหล่านี้ผู้เขียนขอเรียกว่า "เป็นประติมากรรมแห่งความล้มเหลว"ที่ถูกสร้างขึ้นจากความหลงไหลในอำนาจโดยขาดสติความมีมนุษยธรรม ในยุคสมัย
พอล พต เรืองอำนาจ ซึ่งเป็นผู้นำเขมรแดงผู้มีอุดการณ์ต้องการปรับเปลี่ยนชะตาชีวิตและชะตาโลก เมื่อประมาณ 30
กว่าปีก่อน จนกลายเป็นการเกิดโศกนาฏกรรมชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของชาวกัมพูชา ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาคือความความพินาศย่อยยับ
ที่ยังคงตรึงไว้ด้วยความเศร้าโศรกเสียใจ
อาลัยอาวรณ์ของลูกหลานจวบจนปัจจุบัน
(ใครอยากรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เขมรแดงศึกษาเอาเองนะคับผม
มีข้อมูลในหนังสือและอินเทอร์เน็ตมากมาย
ไม่อยากกล่าวเยอะเดี่ยวก่อเกิดความสะเทือนใจ )
ซากวัตถุระเบิดที่ยังคงหลงเหลืออยู่และที่เจ้าหน้าที่ได้กอบกู้ออกจากพื้นที่แถบบริเวณชายแดนแห่งนี้ ซึ่งเมื่อครั้งที่ชาวเขมรอบพยพเพื่อลี้ภัยมาขออาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ชายแดนไทย และอาจยังคงหลงเหลืออยู่บ้างเพราะพื้นที่เป็นป่ารก ยากต่อการตรวจหา ซึ่งหากประชาชนที่เข้าไปเยี่ยมเยือน ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและให้ความสะดวก ในการเยี่ยมชมตามจุดสถานที่ต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้อย่างปลอดภัยแล้ว
หลังจาการนั้นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็พาพวกเราเดินทาง ชมและสำรวจพื้นที่พร้อมกับแนะนำ บอกเล่าเรื่องราวท้าวความอีกมากมายให้เราได้ฟังตลอดเส้นทาง ซึ่งจุดที่จะพาเราไปชมต่อไปคือจุดชายแดนไทย-กัมพูชา ฐาน620 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของนกรมทหารพรานที่23 ประจำการและดูแลปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยอยู่
จ่าวสันต์ สีหาโมกข์ ท่านต้อนรับพวกเราด้วยความเป็นกันเอง พร้อมกับบรรยาเล่ารายละเอียดข้อมูลในเขตพื้นที่ให้เข้าใจ พร้อมกับเล่าท้าวความเรื่องราวความเป็นมาตุั้งแต่ยุคสมัยก่อนจนมาถึงปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ...(ใครอยากฟังไปเยี่ยมท่าน จะได้ฟังจากปากท่านเองนะคับ) พร้อมกับนำกล้องส่องทางไกลตัวโปรดมาให้เราได้สอดส่อง ณ จุดชิมวิว ซึ่งสามารถส่องกล้องลงไปยังพื้นที่รอบบริเวณและพื้นที่ของเพื่อนบ้านเพื่อชมวิวทิวทัศน์อย่างไกลเลยทีเดียว
หลังจากชมวิวมุมนี้เสร็จท่านก็พาพวกเราเดินเท้าไปยังสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คือ ศาลาประดิษฐาน "พระพุทธรักษานักรบกล้าอีสาน" สร้างขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ให้พวกเราได้กราบไหว้สักการะเพื่อเป็นสิริมงคล ซึ่งสถานที่แห่งนี้ท่านก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าเป็นสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกองกำลังทหารไทย เพื่อเป็นที่สัการะบูชา ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของเหล่าทหารนักรบกล้าอีสาน ในการปกป้องและรักษาดินแดนอธิปไตยชาติไทยอย่างแข็งกล้า เมื่อครั้งสมัยที่เกิดการสู้รบตามเขตชายแดนไทย-กัมพูชา
ทริปการเดินทางเพื่อศึกษาธรรมชาติคงต้องขอจบเพียงเท่านี้ก่อน น่าเสียดายที่เวลาเรามีน้อยในการเดินสำรวจและศึกษา เพราะไปถึงสถานที่ประมาณช่วงบ่ายแล้ว และสภาพภูมิอากาสไม่ค่อยอำนวยอันเนื่องจากมีฝนโปรยเม็ดลงมาจากฟากฟ้า เป็นระยะ ...จ่าวสันต์ท่านบอกว่า คราวหน้ามาใหม่ มากางเต้นนอนพักสักคืน ชมดาว ชมจันทร์ ดื่มด่ำบรรยากาศทะเลหมอกยามเช้า เดี่ยวจะพาไปส่องดูวิถีชีวิตสัตว์ป่ายามค่ำคืน.... ถ้ามีโอกาสไปแน่ครับ >> ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่อำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลดีดี ขอบคุณท่านที่มาเยี่ยมชมเว็ปบล็อก คนศรีตระกูล หวังว่าเนื้อหาคงก่อเกิดประโยชน์บ้าง ผิดพลาดประการใด ติชมกันมาได้ น้อมรับเพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาคับผม...